ASW2018

ประสบการณ์เข้าร่วมโครงการ ASW2018 ที่ญี่ปุ่น EP.1

ASW2018 EP.1

สวัสดีครับวันนี้ Gangkie Blog จะมาเล่าประสบการณ์ 

เข้าร่วมโครงการ Asia Student Workshop on Image Science 2018 (ASW2018)

ถึงโครงการนี้จะผ่านมาแล้วถึง 3 ปีด้วยกัน แต่ก็ยังเป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลยหล่ะ วัตถุประสงค์ที่เขียน blog นี่ขึ้นมาเพราะว่าอยากบันทึกไว้เป็นความทรงจำถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่เราได้รับโอกาสในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เพราะว่า Facebook แจ้งเตือนรูปเก่า ๆ ทุกปีเลย ทำให้อดใจไม่ได้ที่จะคิดถึงมันอีกครั้ง…

ก่อนจะเล่าขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า ขอเล่าแค่ ASW ปี 2018 เท่านั้น และไม่สามารถบอกได้ว่าโครงการ ASW ทุก ๆ ปี นั้นจะมีรายละเอียดเหมือนกันทุกอย่างหรือไม่? แล้วจะขอเล่าแค่ประสบการณ์ของตัวเองนะครับ อาจจะไม่สามารถเล่าประสบการณ์ของเพื่อน ๆ ในกลุ่มด้วยได้ทุกคน และอาจมีข้อมูลคาดเคลื่อน ก่อนที่จะเข้าเรื่องก็ขอขอบคุณอาจารย์ทุกท่านนะครับ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดโครงการนี้ขึ้นมา 😀 เล่าผิดถูก ประการใด ก็ขออภัยด้วยนะครับ 5555+

โครงการนี้เกี่ยวกับอะไร?

ก่อนที่จะเริ่มต้นขออธิบายก่อนนะครับว่าโครงการนี้เกี่ยวกับอะไร?

โครงการ Asia Student Workshop on Image Science 2018 (ASW2018) เป็นหนึ่งในโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา ระหว่าง Chiba University ประเทศญี่ปุ่น กับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั่วเอเชีย ทั้งเวียดนาม ไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฯลฯ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก Japan Student Services Organization (JASSO) ระยะเวลาแลกเปลี่ยน ตั้งแต่ 1 ถึง 12 เดือน หรือตามวัตถุประสงค์ของโครงการ 

โดยกิจกรรมในโครงการจะเกี่ยวกับภาพทางวิทยาศาสตร์ (Image Science) ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับวิทยาการสีและการมองเห็นของมนุษย์ เช่น สีทางจิตวิทยา, สีกับการมองเห็น (Color Vision), การประมวลผลภาพ (Image Processing) เป็นต้น

ทางโครงการจะคัดเลือกนักศึกษาทั้งหมด 2 กลุ่มด้วยกัน คือ
1. กลุ่ม D2D (Department to Department) คือ กลุ่มนักศึกษาแต่ละสาขา แลกเปลี่ยนกับแต่ละสาขาด้วยกัน (ซึ่งเก่งก็อยู่ในกลุ่มนี้)

2. กลุ่ม L2L (Laboratory to Laboratory) คือ กลุ่มนักศึกษาที่สนใจในการทำการทดลอง แลกเปลี่ยนกับกลุ่มที่สนใจทำการทดลองด้วยกัน (กลุ่มนี้เก่งไม่ได้เข้าร่วม อาจไม่สามารถเล่าได้ครับ)

โดยทั้งสองกลุ่มจะเข้าร่วมโครงการนี้ด้วยกัน

OK ครับหลังจากที่เราได้รู้คราว ๆ แล้วว่าโครงการนี้เกี่ยวกับอะไร ต่อไปจะเป็นการเล่าเรื่องแล้วนะครับผิดถูก ก็ขออภัยด้วยนะ บางอย่างเราก็เก็บรายละเอียดได้หมดเหมือนกัน หรือบางอย่างเราก็อาจจะเข้าใจผิด เนื่องจากภาษาเรายังไม่ค่อยแข็งแรงซักเท่าไหร่ 5555+ แต่ก็พยายามจนเข้าร่วมโครงการจนได้ เก่งจะขอเล่าประสบการณ์ตั้งแต่เปิดรับสมัครโครงการเลยละกันนะ ว่าผ่านร้อนผ่านหนาวอะไรมาบ้าง? จะพยายามเล่าให้ละเอียดที่สุด ถึงพริกถึงขิงที่สุดนะ 5555+

ประสบการณ์การสมัครเข้าร่วมโครงการ

ก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการนะครับ ตอนนั้นผมก็เป็นเด็กคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ก็เรียนตามปกตินั่นแหละครับ แล้วก็มีวันหนึ่งเดินไปเห็นป้ายประกาศรับสมัครข้อความว่า

“โครงการภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือการแลกเปลี่ยนนักศึกษา ระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กับมหาวิทยาลัยจิบะ ประเทศญี่ปุ่น (Agreement for student exchange program between Rajamangala University of Technology Thanyaburi, Thailand and Chiba University, Japan) ผู้ผ่านการคัดเลือก มีกำหนดเข้าร่วมกิจกรรม ณ Chiba University ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 9 พฤษภาคม 2561 และได้รับทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป-กลับ ประเทศญี่ปุ่น เป็นจำนวนเงิน รายละ 20,000 บาท และได้รับทุนค่าใช้จ่ายในประเทศญี่ปุ่นจาก JASSO เป็นจำนวนเงิน รายละ 80,000 เยน (JPY)”

หลังจากที่เห็นแล้วได้อ่านข้อความนั้นแหละครับ ตาลุกวาวเลยครับ 55555 เพราะว่าอยากไปญี่ปุ่นมาก ได้เห็นระยะเวลาโครงการแล้วถือว่าไปนานพอสมควร แถมได้ทุนสนับสนุนและค่าใช้จ่ายที่อยู่ประเทศญี่ปุ่นอีก ยิ่งดึงดูด อยากให้เข้าร่วม (เป็นคนเห็นแก่ของฟรีครับ 555)

จากนั้นก็ไม่รีรอ รีบอ่านคุณสมบัติผู้สมัครทันที คุณสมบัติก็มีดังนี้เลยครับ

  1. เป็นนักศึกษาคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มทร.ธัญบุรี ระดับปริญญาตรีชั้นปี 3 หรือ ปี 4
  2. มีเกรดเฉลี่ยสะสม ไม่น้อยกว่า 3.25
  3. มีความสามารถทางด้านทักษะภาษาอังกฤษหรือภาษาญี่ปุ่น (ถ้ามีผลคะแนนภาษาอังกฤษ หรือภาษาญี่ปุ่น จะได้รับการพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ)

โอ้โหคุณสมบัติเราผ่านหมดเลยยกเว้นข้อ 3 เพราะไม่เคย สอบภาษาอะไรเลย แต่ก็ดันทุรังสมัครไปอยู่ดี ซึ่งเก่งก็เลือกสมัครกลุ่ม D2D (Department to Department) เพราะไม่อยากทำแล๊ป 5555

คราวนี้ก็มาถึงเอกสารที่ใช้ในการสมัครละครับ ความยากมันอยู่ที่ตรงนี้

  • ต้องเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ (Essay) ไม่น้อยกว่า 500 คำ
  • และต้องคำนวณเกรดเฉลี่ยใหม่ ให้เป็นไปตามระบบของ JASSO

เจอ 2 ข้อนี้ไปในหัวนี่คิดแล้วคือ จะรอดไหมนะ? ภาษาก็อ่อนหัด 555 โอเครไม่เป็นไร Google ช่วยได้ ซึ่งการเขียนเรียงความไม่ใช่ว่าจะเขียนเรื่องอะไร หัวข้ออะไรก็ได้นะ เขามี topic หัวข้อมาให้ คือ

“How to apply color science and imaging technology to your field of study?” แปลง่าย ๆ คือ “คุณจะนำสีเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางภาพนำไปใช้กับสาขาที่คุณเรียนอยู่อย่างไร?”

ฮือหือ… ไปไม่เป็นเลย 555555 เริ่มยังไงก่อนดี? 500 คำเชียวนะ เกิดมาก็ไม่เคยเขียนเรียงความภาษาอังกฤษยาวขนาดนี้มาก่อน 55555 หลังจากนั้นก็ไปรวบรวมไอเดียมาเขียนจนได้ (อิอิ ไม่บอกไอเดียหรอก เพราะกว่าจะคิดออก 55555) เริ่มจากเขียนเป็นไทย และค่อยเป็นเป็นอังกฤษอีกที ขั้นตอนนี้ใช้เวลาเยอะสุดแล้วสำหรับเรา แล้วเร่งมาก ๆ เพราะเปิดรับสมัครวันที่ 3 แล้วปิดรับสมัครวันที่ 15 ซึ่งเวลากระชันชิดมาก เกือบส่งไม่ทัน จำได้ว่าตัวเองส่งก่อนวันสุดท้าย 1 วัน เพราะมั่วแต่นั่งคิดไอเดียในการเขียนเรียงความเนี้ยแหละ 55555

มาต่อกันที่เกรดเราจะต้องแปลงจากเกรด GPA ของไทยเรา ไปเป็น GPA ของ JASSO ซึ่งเขาจะมีแบบฟอร์มมาให้เป็นไฟล์ excel ให้เรากรอก แล้วมันจะคำนวณออกมาให้ หลังจากเรากรอกเสร็จ เราก็ตกใจอีกแล้ว จากเกรดตัวเอง GPA 3.xx พอแปลงเป็นระบบของ JASSO เหลือแค่เพียง GPA 2.xx ห่ะ! เมื่อเทียบกับระบบของญี่ปุ่น ฉันดูโง่ขนาดนี้เลยเหรอ? 55555+ แต่นี่ก็ไม่ใช่อุปสรรค เพราะคุณสมบัติเราได้ ก็ส่งไปเรียบร้อยยย

การแปลงเกรด

ต่อไปเขาจะก็นัดวันสัมภาษณ์ ซึ่งแน่นอนสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ ถึงวันสัมภาษณ์ก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา โอ้โห้ คู่แข่งเยอะมากนั่งรอหน้าห้องรอสัมภาษณ์ ประมาณ 18 คน (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ทุกคนก็ทะยอยเข้าไปจนมาถึงคิวของเรา ในห้องก็อารมณ์ประมาณห้องประชุมรูปตัว U ที่มีอาจารย์แต่ละคนนั่งเรียงกัน แล้วยิงคำถามเข้ามาที่เรา 55555 ซึ่งมีอาจารย์หลายท่านมากเกร็งไปหมด ถึงจะเป็นอาจารย์ในคณะเราเองก็เถอะ คำถามก็ประมาณว่า ทำไมถึงอยากเข้าร่วมโครงการนี้? คิดว่าไปแล้วจะมีปัญหาอะไรไหม? คิดว่าโครงการนี้เกี่ยวกับอะไร? ฯลฯ จำไม่ได้แล้ว คราว ๆ ก็ประมาณนี้

พอถึงวันประกาศผล ปรากฏว่าได้ทั้งหมด 11 คน จากทั้งหมด 18 คน ซึ่งก็มีเรารวมอยู่ในนั้นด้วย ดีใจสุด ๆ แล้วก็เข้าสู่ขั้นตอนถัดไปก็คือ การที่ทุกคนที่ติดโครงการ จะต้องพรีเซ็นตัวเอง ว่าจุดแข็งคืออะไร จุดด้อยของเราคืออะไร สนใจในอะไร? โปรเจคจบของตัวเองคืออะไร ทำเพื่ออะไร แล้วทำไมถึงทำ เป็นประโยชน์ยังไง? โดยพรีเซ้นเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้อาจารย์ในโครงการ ประเมิน และคอมเม้นว่า เรามีข้อพกพร่อง ในการพรีเซ็นยังไง ควรปรับปรุงตัวเองอย่างไรบ้าง? เพื่อปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอ ของตัวเองให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น เมื่อต้องมีการพรีเซ็นต่าง ๆ ในโครงการ

หนังสือเแจ้งชิญเข้าร่วมโครงการฯ

ไม่พอแค่นี้ ทุกคนที่เข้าร่วมโครงการนี้ ต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษพื้นฐาน ของมหาวิทยาลัย แล้วเอาคะแนนมายื่นกองยุทธศาสตร์ต่างประเทศของทางมหาวิทยาลัยด้วยนะ ซึ่งเรายังไม่มีคะแนน ก็ไปไล่สอบทีหลังเอาเหมือนกัน ซึ่งต้องการคะแนน โดยการส่งเป็นสำเนา ดังนี้

  • Tell me more คะแนน 3.5 ขึ้นไป
  • RT-TEP 2.5 ขึ้นไป
  • หรือผลสอบ TOEIC

เริ่มโครงการแลกเปลี่ยน

หลังจากที่ทุกคนได้รู้ผล ไปแล้วนั้น ก็ได้เริ่มโครงการ โดยที่ทางญี่ปุ่นจะมาแลกเปลี่ยนที่ประเทศไทยก่อน โดยเพื่อนญี่ปุ่นจะได้เรียนวิชาที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีสื่อสารมวลชน วิชาที่เรา ๆ ชาวไทย ได้เรียน นี่แหละ โดยนักเรียนชาวไทย จะจัดเวรกับ เพื่อมาดูแลเพื่อนญี่ปุ่น โดยเพื่อนญี่ปุ่นที่มาไทยก็มาจาก Chiba University แต่ปี 2018 นี้เพื่อนชาวญี่ปุ่น มาแค่เพียง 1 คนเท่านั้น (น้อยจังงง) อยาก make friend มากกว่านี้ 5555+ เพื่อมญี่ปุ่นชื่อว่าซาโตชิ (Satoshi) เราเล่นมุกว่าเป็นคนสร้าง Bitcoin เหรอ? ซาโต งง สงสัยไม่รู้จักบิตคอย 555 

เราคนไทยก็จัดเวรกันดูแลเพื่อนชาวญี่ปุ่น และเขียนรายงานถึงอาจารย์ที่ดูแลโครงการอยู่เรื่อย ๆ ว่าเราพาเพื่อนไปไหน วันว่าง ๆ พาไปไหนบ้าง วันว่าง ๆ นี้แหละเราชาวไทยก็พาเพื่อนญี่ปุ่น แต่ตลอนเดินงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” (ซึ่งงานไม่ได้หนาวเหมือนชื่อนะ เรียกได้ว่าร้อนตับแตก 555+) งานนี้ทุกคนที่ไปงานจะต้องแต่งกายด้วยชุดไทย ให้ภาพเล่าเรื่องละกัน แต่งตัวอย่างกับเป็นคู่แฝด 5555

หลังจากที่เพื่อนญี่ปุ่นเข้าร่วมโครงการที่ไทยเสร็จ เขาก็ได้บินกลับไป คราวนี้ก็เราตาของเราบ้างแล้ว ที่จะต้องไปแลกเปลี่ยนโครงการที่ประเทศญี่ปุ่น >..< รอเวลานี้มานานม๊วกกก 5555

เตรียมตัวก่อนไป

ซึ่งก่อนจะไปเราก็ได้เตรียมตัวอะไรต่าง ๆ นา ๆ ตั้งแต่การจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้า ขอวีซ่า (ต้องขอ เพราะว่าเราอยู่ที่ญี่ปุ่นเกิน 15 วัน) การขอก็ไม่ใช่ว่าจะขอได้ง่าย ๆ นะ เสี่ยวเหมือนกันว่าเราจะผ่านวีซ่าไหมนะ? เพราะข้อมูลการขอวีซ่าต้องกรอกแบบละเอียดมาก ตั้งแต่ ชื่อเก่า ที่ตัวเองเคยเปลี่ยนมา (ซึ่งเราก็เคยเปลี่ยนชื่อมา) ข้อมูลพาสปอต ระยะเวลาที่จะอยู่ในประเทศญี่ปุ่น อยู่ตั้งแต่วันไหน ถึงวันไหน? ไปสายการบินไหน? เที่ยวบินที่เท่าไหร่? ลงสนามบินที่ไหน? ที่พักในญี่ปุ่นอยู่ที่ไหน? ที่พักในไทยละ? ชื่อนายจ้าง ที่อยู่นายจ้าง? บุคคลที่ติดต่อได้ในญี่ปุ่น มีความสัมพันธ์กับเขายังไง? ต้องรู้ถึงวันเกิดของคน ๆ นั้นด้วยนะ คุณเคยมีคดีไหม? บล่า ๆ ถามเยอะมาก ละเอียดมาก และก็มีเอกสารอื่น ๆ เยอะแยะมากมายที่ต้องใช้ประกอบในการขอวีซ่า เช่น เอกสารรับรองการเป็นนักศึกษา, statement, passport เป็นต้น ส่วนเรื่องราคา เก่งจำไม่ได้แล้วว่าราคาเท่าไหร่

หลังจากไปทำวีซ่าที่ศูนย์ยื่นวีซ่าประเทศญี่ปุ่น (JVAC) ไม่ใช่ว่าจะได้วีซ่า ภายในวันนั้นเลยนะ เราต้องทิ้งเอกสารต่าง ๆ ให้เขาตรวจสอบ แล้วเขาจะให้ใบนัดมารับเอกสาร ว่าต้องมารับวันไหน

โชคดีไปที่เราผ่านวีซ่ามาได้ด้วยดี เพราะทางมหาวิทยาลัยได้เตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้เราไว้เป็นอย่างดีเลยทำให้วีซ่าเราผ่านได้ เย้.. ขอบคุณครับบบ

ได้เวลาบิน Go to Japan

Day 1 – 27 March 2018
วันแรกแบบ งงๆ

วันแรกนี้ เป็นวันที่เราบินจากประเทศไทย ไปญี่ปุ่น เราเริ่มบินตอน เช้าประมาณตี 5 ที่สนามบินดอนเมือง และถึงประเทศญี่ปุ่น ที่สนามบินนาริตะ เวลาประมาณ 13:00 น. ของที่นั้น (ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง) พอถึงสนามบิน ก็มีเพื่อนญี่ปุ่นคนเดิม Satoshi ที่มาแลกเปลี่ยนที่ไทย มารับเราถึงสนามบิน พาขึ้นรถไฟออกจากสนามบินไปที่พักของเรา ก็คือ Chiba University International House ซึ่งตั้งอยู่ใน Inage, Chiba

ปลาเก๋า… เอ่ย! กระเป๋าของเรา ได้เข้ายึดพื้นที่ เต็มทางเดิน เรียบร้อยแล้ว 55555

หลังจากที่เก็บของอะไรเรียบร้อย เราก็ประเดิมด้วยการตะลอนหาอะไรกินกันสำหรับมือแรกที่ญี่ปุ่น ด้วยซูชินี่เอง … สำหรับวันแรกก็ไม่มีอะไรมาก ทุกคนถึงที่พักก็ต่างพากันพักผ่อน เนื่องจากเหนื่อยจากการเดินทางกัน

อาหารมื้อแรกของเรา

Day 2 – 28 March 2018
เริ่มภาระกิจแรก

สวัสดีวันที่ 2 ตื่นเช้ามา พร้อมวิวดี ๆ หน้าหอพัก มองออกไปเห็นดอกซากุระ กำลังผลิดอกที่ 1 ปี จะมีให้เห็นเพียงครั้งเดียว พร้อมอากาศที่เย็นกำลังดี 18 องศา

ภาพวิวดี ๆ หน้าหอพัก พร้อมดอกซากุระที่กำลังผลิดอก

วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะไปที่ Chiba University โดยวันแรก เราได้นั่งรถไฟไปมหาวิทยาลัย เพราะว่าเรายังไม่คุ้นชินกับทางเดินสักเท่าไหร่ไม่อยากไปสายด้วย 5555 ซึ่งกิจกรรมช่วงเช้าวันนี้จะเป็นการ ฝึกพูดภาษาญี่ปุ่น กับเพื่อนญี่ปุ่นในชั้นเรียน โดยมี เพื่อน ๆ จาก คณะของเรา 11 คน และเราก็ได้เจอ เพื่อนใหม่เพิ่มอีก 1 คนซึ่งเป็นรุ่นพี่มาจาก มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ (พี่นุ้ย) พี่ใหญ่สุดของเรา ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี จนเลิกคลาสเรียนในตอนเช้า แต่แล้วก็เกิดเหตุจนได้ เมื่อมี ชาวไทยอย่างเรา ไปเข้าห้องน้ำที่
ญี่ปู๊น…ญี่ปุ่น 5555+ 

เมื่อห้องน้ำที่ญี่ปุ่นล้ำกว่าห้องน้ำที่ไทย ซึ่งมันไม่ได้มีแค่ปุ่มชักโครก แต่ปุ่มชักโครกดันมีปุ่มข้าง ๆ เป็นปุ่มขอความช่วยเหลือ ซึ่งก็มีเพื่อน ๆ เรากดปุ่มผิด ไปกดปุ่มโดนปุ่มขอความช่วยเหลือ และแล้วสัญญาณแจ้งเตือนก็ดังขึ้น ทำให้นักศึกษาญี่ปุ่นเกิดความตกใจแล้วรีบวิ่งมาให้ความช่วยเหลือทันที 5555+ ปล. หน้าตาเขาดูตกใจจริง ๆ นะ เพื่อน ๆ เราก็ได้แต่ขอโทษ เพราะความไม่รู้ หลังจากนั้นคงไม่กล้ากดอีกเลย 5555

เก่งผู้ชื่นชอบ ของทอด 55555

จากนั้น ก็พักเที่ยง พวกเราทั้งหมดก็ได้พากันไปกินข้าวที่ Canteen โรงอาหารของมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ทำให้เราตกใจอีก เราต้องบริการ ตัวเอง!!! โดยเขาจะให้จานข้าว ให้เราหยิบอาหารตามอัธยาศัย แล้วทุกอย่างจะถูกชั่งน้ำหนัก และคิดเป็นค่าอาหาร พร้อมบิลแนบทันที! ว้าวว… แบบนี้กินเยอะก็เสียเยอะ กินน้อยก็เสียเงินน้อย ฮ่า ๆ 

หลังจากเราพักเที่ยงเสร็จพวกเราก็ได้มีการปฐมนิเทศกับอาจารย์ ผู้ประสานงาน โครงการ ชื่อว่าอาจารย์โยโกะ โดยเรา ปฐมนิเทศและเซ็นสัญญา รับบัตรนักศึกษา รับทุนการศึกษาพร้อมทำประกันอุบัติเหตุ จำนวนเงินทั้งหมด 80,000
เยน (ประมาณ 23,000 บาทไทย) โดยปกติแล้วทุนนี้จะได้รับจากทาง JASSO แต่เนื่องจากทุนมีการล่าช้า จึงทำให้ อาจารย์โยโกะต้องออกเงินส่วนตัวทั้งหมดให้ทุนเรามาก่อน ซึ่งอาจารย์ใจดีมากอนุญาตให้เรามาคืนได้ทีหลัง เมื่อได้รับทุนจาก JASSO จริง ๆ เพราะอาจารย์กลัวพวก ๆ เราไม่มีเงินสำรองใช้ ใจดีฝุด ๆ

บัตรนักศึกษา Chiba University ของเก่งเอง รูปพรีชีพมาก 555

หลังจาก จบกิจกรรมนี้ ทุกคนก็ได้ ไปรับอุปกรณ์เครื่องครัว สำหรับใช้ในหอพัก เช่น จานชามหม้อหุงข้าว แล้วทุกคนก็เดินทางกลับหอพัก เพื่อเตรียมตัวที่จะ กลับไป เตรียมตัวสำหรับกิจกรรมในวันพรุ่งนี้

Day 3 – 29 March 2018
ดูงานที่บริษัท DNP

สวัสดีเข้าสู่วันที่ 3 วันนี้ตอนช่วงเช้า เราทั้งหมดต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะพรีเซ้นวัฒนธรรมไทยและงานโปรเจ็คของตัวเอง ที่บริษัท Dai Nippon Printing (DNP) โดยเราทั้งหมดก็แยกหน้าที่กัน รับผิดชอบ ในส่วนของแต่ละคน ว่าแต่ละคนต้องเตรียมอะไรกันบ้าง แล้วทุกคนก็ นัดหมายเจอกันที่สถานีรถไฟ 12:00 น. 

แต่ถว่ามีเพื่อน 1 คนเกือบสายเพราะอาบน้ำช้า (นายลิคกี้) ทำให้ต้องวิ่งเท่านั้น วิ่งแบบนารูโตะ เขาถึงจะมาทัน 5555 แต่แล้ว ก็มาถึงทันจนได้ จึงทำให้ทันรถไฟเที่ยวเดียวกันขบวนเดียวกันได้สำเร็จ เรามีอาจารย์ญี่ปุ่นเป็นไกด์นำทางเราไปยังบริษัท DNP

เมื่อถึงบริษัท ทีมทั้งหมดของเราได้ present ประเทศวัฒนธรรมอุตสาหกรรม และเทรนอุตสาหกรรมของแต่ละประเทศ ซึ่งก่อนจะพรีเซ้น เก่งได้รับหน้าที่ให้เตรียมข้อมูลลงมาใน Flash Drive ของเราเอง ปรากฏว่าพอจะถึงตอนที่กำลังจะเสียบ Flash Drive ผู้คนในห้องประชุม ลุกขึ้นฮือฮา พูด no no no!! เราก็งง เห้ย.. เกิดอะไรขึ้น อ๋อ… เขาไม่อนุญาตให้เราเสียบ Flash Drive ลงในคอมพิวเตอร์ของบริษัทเขา เราตกใจมาก เหมือนเป็นคนทำผิดร้ายแรงเลย แต่ยังดีที่ยังไม่ได้เสียบ เขาคงกลัวข้อมูลบริษัทรั่วไหล หรือกลัวไวรัสดักจับข้อมูล  หลังจากนั้นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยชิบะก็ให้ ยืมโน้ตบุ๊ค (Laptop) ส่วนตัวของอาจารย์ นำมาใช้ในการ present เห้ออ… เกือบไปแล้วไหมละ โล่งอก.. ขอบคุณอาจารย์ครับ

โดยวันนี้เรามีตัวแทนจาก 4 กลุ่มด้วยกันคือ

  1. นักศึกษาแลกเปลี่ยน จากประเทศไทย ( กลุ่มเราเอง )
  2. นักศึกษาแลกเปลี่ยนจากจุฬาฯ ( พี่นุ้ย )
  3. นักศึกษาแลกเปลี่ยนจากประเทศแคนาดา
  4. นักศึกษาฝึกงานจากมหาวิทยาลัยชิบะ

หลังจากคลัง 4 กลุ่ม Present ของตัวเองเสร็จ กิจกรรมถัดมา คือ การแบ่งกลุ่มเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยให้แนะนำตัว และพูดคุยกันภายในกลุ่ม ไอ้เราก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่อง แต่ก็พยายามชวนคุยนะ เผื่อจะมีเคมีที่ตรงกัน 55555+

กิจกรรมต่อมาทุกคนจะต้องร่วมกันระดมสมองภายใต้โจทย์ของบริษัท ซึ่งตอนแรกเราก็ค่อนข้าง งงกับโจทย์ แต่ก็พยายามฟังและจับใจความจนเข้าใจได้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ซึ่งโจทก์ก็คือ การทำอย่างไรให้บริษัทของเขาดีขึ้น พนักงานทำงานอย่าง Happy และมีความสุข โดยยกประเด็นมากลุ่มละ 1 อย่าง ซึ่งกลุ่มของเก่งก็ได้นั่งร่วมกับนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากแคนาดา ซึ่งความคิดเขาค่อนข้าง positive มากคิดบวก โดยมีชาวญี่ปุ่น เสนอให้แก้ไขปัญหา การที่ชาวญี่ปุ่นไม่มีเวลาดูแลลูกหลังคลอด ซึ่งแต่ละคนก็ได้ร่วมกันเสนอปัญหาบางคนก็คิดถึงขั้นที่ว่า ให้นำลูกมาเลี้ยงที่ทำงานได้ และก็มีอีกหลายไอเดียเลย หลังจากที่คิดกันเสร็จ ก็จะต้องมีตัวแทนกลุ่ม ลุกขึ้น present ข้อสรุป ของกลุ่ม ซึ่งเราไม่คล่องภาษาอังกฤษเราเลยยกโอกาสนี้ให้กับพ่อหนุ่ม นักศึกษาแลกเปลี่ยนที่มาจากแคนาดา 5555+

หลังจากที่ทุกคน Present เสร็จเรียบร้อยครบทุกกลุ่มแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยนั่นก็ คือ Welcome Party ที่ทางบริษัทได้จัดไว้ให้เรา มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลย 😛  ก่อนจะรับประทานก็มีตัวแทนขององค์กรออกมาพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเป็นกันเอง แล้วทุกคนก็เริ่มปาร์ตี้ ด้วยการบรรจงของกินที่อยู่ข้างหน้า และแน่นอนด้วยความเป็นญี่ปุ่นต้องมีการชนแก้ว!! 

ทุกคนก็ยกแก้วมาพร้อมกันตรงหน้าแล้วพูดว่า คัมไป๊ คัมไป๊!! พร้อมกับดื่มพร้อมกัน และแล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น กับนายเก่งกี้ 5555+ ผู้ที่ไม่รู้อะไรกับขวดสีเขียว เครื่องดื่มที่ผู้ชายกำลังรินกัน ซึ่งเก่งได้กินน้ำอัดลมจนหมดแก้วแล้ว ได้เดินไปแถวเครื่องดื่ม เพื่อที่จะเติม เราก็เดินเข้าไปใกล้ ๆ กลุ่มผู้ชาย ส่งสายตาพร้อมยิ้มให้เล็กน้อย ขณะที่เขากำลังรินน้ำลงแก้ว 5555+ แล้วเขาก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า

“Do you want to try this?” คุณอยากลองอันนี้ไหม?

ไอ้เราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรด้วยความที่เราไม่อยากเสียมารยาท เลยตอบไปว่า “ok, let’s try!!” จากนั้นเขาก็ทำตามมารยาทด้วยการรินน้ำลงแก้วของเราเต็มแก้ว เสร็จแล้วก็ยื่นให้เรา พร้อมทำท่าชนแก้ว คัมไป๊!! 

พอจะเอาเข้าปากทั้งนั้นแหละเก่งกี้ เลยรู้ทันทีว่า ขวดสีเขียวที่เขากำลังรินกัน แล้วเขารินให้เราเมื่อกี้ มันคือ เหล้าขาวญี่ปุ่นนั่นเอง!! กลิ่นเตะจมูกมาก อุต๊ะ!! ตายแล้วว เป็นคนไม่กินเหล้า.. ทำไงดีเขารินให้แล้วเราก็ต้องทำตามมารยาทคือดื่มให้หมด ( ในใจก็ได้แต่คิดว่าน้ำใส ๆ มันคงไม่แรงหรอกน๊าาา 55555) จากนั้น ก็กรอกลงปากจนหมดแก้ว พร้อมพูดคำว่า thank you และเดินออกมาจากตรงนั้น ไปรับประทานอาหารอื่น ๆ ต่อ

จากนั้นแหละ 5 นาทีต่อมา อาการเริ่มออก ไวมาก แรงมาก เก่งกี้ ก็กลายเป็นผู้ที่เมามาก ๆ เมาจนพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง 55555 ซึ่งไม่นานก็ได้จบปาร์ตี้ทุกคนได้แยกย้ายกันกลับบ้านและอำลาด้วยการขอบคุณกันและกัน

เก่งกี้ ผู้ซึ่งยังเมาอยู่ ต้องเดินหอบสังขาร เดินเอียงคอนิด ๆ เดินกับเพื่อน ๆ กลับมาขึ้นรถไฟกลับหอ ในสภาพที่เมา ยอมรับว่าไม่เคยเมาขนาดนี้มาก่อน ทุกวันนี้ยังจำความรู้สึกนั้นได้เป็นอย่างดี ยังดีที่ภาพไม่ตัด 55555555

Day 4 – 30 March 2018
ออกสำรวจมหาวิทยาลัย

หลังจากที่เมาไปเมื่อวาน ได้พักผ่อนก็ค่อยสางหน่อย 5555 วันนี้เป็นวันศุกร์ ช่วงเช้าเป็นช่วงว่าง ๆ ของเรา เราไปเซอร์เวย์รอบมหาวิทยาลัยชิบะ

เดินดูสถานที่ ถ่ายรูป และก็เข้าไปสำรวจห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัย ห้องสมุดของเขา ดีไซน์ได้ดูดีมาก และหน้าห้องสมุดจะมีป้ายบอกพยากรณ์อากาศ เพราะที่นี่ให้ความสำคัญมาก ๆ กับ ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับการพยากรณ์ และคาดการณ์ได้ค่อนข้างตรงมากเลยทีเดียว หลังจากนั้นเราก็พากันเดินถ่ายรูปรอบรอบกับเดอะแก๊ง 

เมื่อถึงช่วงบ่ายก็ได้เข้าไปหาอาจารย์ซาไก เพื่อให้อาจารย์สอนวิธีการหุ้งข้าว โดยใช้หม้อหุ้งข้าวภาษาญี่ปุ่น อาจารย์ดูแลดีมาก เปรียบเสมือนแม่ของพวกเราในต่างแดนเลย แล้วในวันนี้เองเราก็ได้พบกับเพื่อนใหม่ จากประเทศไทยที่มาร่วมโครงการอีกมหาวิทยาลัย นั่นก็คือ มหาวิทยาลัยมหิดล มาทั้งหมด 1 คนด้วยกัน ซึ่งก็เป็นรุ่นพี่ของเราอีกตามเคย (พี่กุ๊กกิ๊ก) ซึ่งเราก็ได้ช่วยพี่เขาย้ายของขนกระเป๋าไปยังหอพัก และเสร็จก็ไปหาอะไรกินแถว ๆ สถานีรถไฟ Inage คือข้าวหน้าเนื้อ นั่นเอง ปล. ลืมชื่อเมนูภาษาญี่ปุ่น 55555 จากนั้นก็แยกย้ายกลับหอ เพื่อรอวันเสาร์ พรุ่งนี้ ซึ่งฟรีเดย์ของเราตั้งหน้าตั้งตาเที่ยว 55555

อาจารย์ซาไก กำลังสอนหุ้งข้าว โดยใช้หม้อหุ้งภาษาญี่ปุ่น

Day 5 – 31 March 2018
ฟรีเดย์วันแรกที่ชินจูกุ

สวัสดีวันนี้เป็นวันเสาร์ เป็นวันฟรีเดย์ของเราชาว ASW 2018 ในวันนี้เราวางแผน?

การที่จะเข้าไปในโตเกียวเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการออกไปเที่ยวครั้งแรก ที่ชินจูกุ เป็นการไปโดยที่ไม่มีแพลนใด ๆ คือเพื่อนอยากไป เก่งกี้ก็ไปตาม

ไปถึงชินจูกุ ไปเดินหยอดตู้เกม ไปซื้อซิมอินเทอร์เน็ต นั่งกินไอติม ท่ามกลางอากาศหนาว และกินราเมง แล้วก็กลับ 555555 

เป็นการออกไปเที่ยวที่รู้สึกว่าไม่คุ้มกับค่ารถไฟ ไม่ค่อยได้ภาพถ่าย เพราะเดินไปทั่ว และไม่คุ้มค่าเสียเวลาสุด ๆ เพราะไม่ได้วางแผนมาว่าชินจูกุ จะซื้ออะไร ควรเดินที่ไหนยังไง? บวกกับยังไม่มีอินเทอร์เน็ตติดตัว หาใช้ WiFi ฟรี และนี่ก็เป็นบทเรียนแรกของเรา ที่ทำให้ครั้งถัดไปเราต้องวางแผนมากขึ้น

ภาพย่านชินจูกุ

Day 6 – 1 April 2018
Fools’ Day ที่ Sawara-Katori

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันฟรีเดย์ของพวกเราชาว ASW 2018 อีกวัน แน่นอนอยู่แล้วว่าวันว่างๆ แบบนี้เราจะไม่ปล่อยหรือนอนเปื่อยอยู่ในห้องแน่นอน 55555 ฟรีเดย์เรามีจำกัด เราต้องออกไปเที่ยว และครั้งนี้ เราได้วางแผนมาเป็นอย่างดี (มั้ง?) ครั้งนี้เราจะไปเที่ยวที่ Sawara > Katori ที่ห่างไกลจากตัวเมืองออกไปไกลมากกก~ โดยเฉพาะวันฟรีเดย์แบบนี้เราก็ทำตัวสโลว์ไลฟ์ ด้วยการตื่นสาย และนัดหมายเวลากันออกจากที่พักเวลา 11:30 น. ใช้เวลาเดินเท้าไปสถานีรถไฟ 13 นาที เวลาที่เหลือเราก็เติมเงินค่าโดยสารเข้าบัตร โดยที่นี่มีเครื่องเติมอัตโนมัต และทอนเงินอัตโนมัต ทุกสถานีของ JR เลยซึ่งดีและสะดวกมาก ๆ หลังจากเติมเงินเสร็จเราก็นั่งรอจนเวลา 11:58 น. รถไฟที่เราจะต้องขึ้นก็มาถึง ปล. รถไฟมาตรงเวลามาก ๆ ไม่มีเลทเลย เรามีแอพไว้ดูว่าเวลาที่รถออกคือ 12:00 น. รถไฟก็ออกจากสถานีเวลานั้นเลย ซึ่งดีมาก มันทำให้เราคำนวณเวลาเดินทางได้ค่อนข้างตรงเลยทีเดียว คนญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องตรงต่อเวลามาก ๆ หลังจากที่เราขึ้นรถไฟ เราก็ดูลำดับสถานีในแอพตลอดเพื่อป้องกันการนั่งเลยสถานีจะได้เตรียมตัวลงทัน เพราะรถไฟจอดแปบเดียว เรานั่งรถไฟไปลงที่สถานี Narita-Station เราต้องลงที่นี่ก่อน เพื่อที่จะทำการเปลี่ยนสายรถไฟ เราใช้เวลานั่งรถไฟมา 1 ชม. 30 นาที จนถึงสถานี Narita-Station เวลาประมาณ 13:30 น.

แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น 55555 เราทั้งหมดขึ้นรถไฟผิดสาย เราไปขึ้นสายที่พาเราไปสนามบินนาริตะ พีคที่สุดคือ มันไม่มีสถานีจอดให้ลงเลยเว้ยแก!! กลับตัวไม่ทันด้วย ต้องนั่งไปสนามบินนาริตะ อย่างเดียว ซึ่งจาก Narita-Station ไปสนามบินนาริตะระยะทางคือ 12.8 กม. ซึ่งไม่มีสถานีจอด!! ยิงยาวไปเลย 12 กิโล โห้ววว ซึ่งทำให้เราเสียเวลากับการไป-กลับ ถึง 1 ชม.

แผนที่การเดินทางของเราวันนี้ไกลมาก ไกลกว่าโตเกียวอีก!! Chiba to Katori

หลังจากกลับมาที่ Narita-Station ได้ เราก็ตั้งหลักกันใหม่ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณ 14:45 น. ยังไม่ถึงที่เที่ยวเลย!! 55555 ทุกคนเริ่มหมดพลังกับการนั่งรถไฟ แต่ไม่ท้อถอย เราไปกันต่อ คราวนี้เรานั่งถูกสายแน่นอน เรานั่งรถไฟไปต่ออีก 27 กม. (ไกลเอาเรื่อง) ใช้เวลาอีกประมาณ 1 ชม. จนเวลา 16:00 น. เราก็ถึงสถานี Sawara จุดหมายปลายทางของเรา! (55555 ยังไม่ทันได้เที่ยวเลยจะเย็นแล้ว) มาถึงที่แล้วก็ขอถ่ายรูปกับป้ายหน่อย แชะ!! 

ภาพแรกที่ Sawara

ก่อนอื่นก็ขออธิบายก่อนเลยว่า Sawara เป็นเมืองเก่าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีตึก อาคารที่ไม่เหมือนเมืองอื่น มีแม่น้ำไหลผ่านเมือง เป็นเมืองที่ชิล ๆ หลีกหนีจากความวุ่นวาย (ปล. แต่เรากว่าจะมาถึงที่นี่ได้วุ่นวายพอตัว 55555) รายละเอียดคราว ๆ เรารู้แค่นี้แหละ เพราะเรามีเวลารีเสริททริป 1 ชม. ก่อนนอนของเมื่อวานเอง 555555 จริง ๆ เก่งไม่ได้เป็นแกนนำพามาที่นี่ ใครเป็นแกนนำไม่รู้ เพื่อนมาหมด เก่งก็มาด้วย 555555

หลังจากถึงเราก็พากันเดินชมเมืองรอบ ๆ แล้วก็ถ่ายรูป และแวะจุดต้อนรับนักท่องเที่ยว เราได้เข้าไปเอาแผนที่สำหรับการเดินชมรอบเมือง และแวะพักเข้าร้านสะดวกซื้อ LAWSON ก่อนออกเดินเท้าจริงจัง 

หลังจากพักผ่อนเสร็จ เราก็หยิบแผนที่ที่ได้จากศูนย์นักท่องเที่ยวมาดู และทุกคนก็ตกลงกันว่าไปที่นี่ซิ “ศาลเจ้าคาโทริ หรือ Katori-Jingu” มีอายุกว่า 2,600 ปี ภาพประกอบในแผนที่สวยและดึงดูดพวกเรามาก ซึ่งเราก็เดินตามแผนที่ที่เขาให้มา แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีกแล้ว!! เนื่องด้วยในแผนที่มันไม่บอกระยะทาง หรือความใกล้ไกล เราเห็นว่าในแผนที่มันใกล้ ๆ เราเดินตามแผนที่มานานกันพอสมควร โดยที่ไม่มีใครเปิดแผนที่ในมือถือดูเลยแม่แต่คนเดียว! แต่แล้วก็แปลกใจ ทำไมมันเดินไม่ถึงซักที! ศาลเจ้าที่ว่าเนี้ย

เก่งผู้สงสัย เลยหยิบมือถือขึ้นมา แล้วก็ค้นหา แล้วความจริงก็ปรากฏ 555555 เราต้องเดินเท้ากันไปอีก 3.6 กิโลเมตร ถึงจะถึงศาลเจ้าคาโทริที่ว่า ซึ่งเราก็เดินมากันได้ประมาณครึ่งทางแล้ว ก็ถามกันว่าจะเดินกันต่อหรือจะเดินกลับไป เพราะที่นี่เป็นชนบท ไม่มีแท็กซี่วิ่งผ่านเลย ถึงมีมา 1 คันก็ไม่สามารถนั่งอัดกันเหมือนแท๊กซี่ที่ไทยได้ 55555 ปรากฏว่าทุกคนตัดสินที่จะเดินกันต่อ ถึกสุด ๆ เพราะอากาศไม่ร้อน ถ้าที่ไทยคงมี เป็นลม 55555 ซึ่งเวลาตอนนั้นคือ 17:00 น. ใกล้จะมืดแล้วด้วยเราทุกคนเลยรีบเดินกัน เราเดินกันไปคุยกันไป ทุกเรื่องสารทุกสุขดิบ เลยทำให้ไม่ค่อยน่าเบื่อเท่าไหร่ 

แผนที่แสดงการเดินของเราในวันนี้ ให้ดูอัตราส่วนภาพ ว่าเราเดินกันไกลขนาดไหน!!

และแล้วเราก็เดินมาถึงศาลเจ้า เวลา 17:45 น. ใช้เวลาเดินไป 45 นาที  เมื่อถึงศาลเจ้า ทุกคนก็แยกย้ายพากันต่างคนต่างเดินชมรอบ ๆ ศาล ขอพร ไหว้ศาลเจ้าตามแบบวัฒนธรรมของญี่ปุ่น รอบ ๆ ศาลเจ้าก็จะเต็มไปด้วยต้นไม้ และป่า เพราะศาลเจ้าตั้งอยู่บนที่สูง และนี่ก็คือภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถ่ายมาได้จากกล้องมือถือ ที่เดินไปด้วยถ่ายไปด้วย ภาพเลยไม่ค่อยชัด เพราะต้องแข่งกับเวลา 555555

เราอยู่กันที่นี่จนถึงเวลา 18:25 น. และเราก็นัดหมายมารวมตัวกันที่จุดนัดพบ เพื่อเดินทางกลับ แต่แล้วมันก็ไม่ง่ายแบบนั้น เพราะเราต้องเดินเท้ากันต่อไปสถานทีรถไฟ เราเปิดแผนที่และดูสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด พบว่าสถานีใกล้สุด คือ Katori Station (2.7 กม.) เราจึงเช็คตารางรถไฟของสถานีนี้

สถานการณ์ก็พีคแล้วพีคอีก!! คือรถไฟเหลือแค่เพียง 2 เที่ยวเท่านั้น คือรอบ 19:10 น. กับรอบ 20:00 น. นั่นหมายความว่า ถ้าเราเดินกันไปถึงสถานีรถไฟไม่ทันรอบ 1 ทุ่ม เราต้องรอรถไฟกว่าอีก 50 นาที ฉะนั้นทุกคนเลยรีบ ก้าวขาอย่างไว 55555 แต่ด้วยความที่ว่ามันมืดแล้ว ข้างทางไฟก็ไม่ค่อยมี รอบ ๆ ถนนมีแต่ป่าต้นไม้ ทำให้เราทุกคนต้องเปิดไฟฉายจากมือถือ เพื่อช่วยกันส่องทาง ให้ฟีลอารมณ์มาเข้าค่ายลูกเสือสุด ๆ ไปเลยวันนี้ 55555555 ตอนแรกในหัวเก่งคิดว่าจะเสนอเดินตัดเข้า ทุ่งนาของชาวบ้าน แต่กลัวเจองู เลยไม่เอาดีกว่า 5555

เราเดินกันมาเรื่อย ๆ จนถึงสถานีรถไฟ Katori Station ในเวลา 19:00 น. ทันเวลาพอดี แล้วจึงได้ขึ้นรถไฟตอนเวลา 19:10 น. กลับหอพัก ของเรากันเถอะ! เราใช้เวลานั่งรถไฟกลับหอกัน 2 ชม. ซึ่งในเวลานั้นทุกคนหิวมาก ยังไม่ได้กินอะไรเลย ต้องกลับไปหาไรกินแถวที่พักแทน 

เวลา 21:00 น. ถึง Inage, Chiba ที่เราคุ้นเคย เราไม่รอช้าที่จะหาอะไรกิน เพราะว่าหิวมาก เพื่อนบางคนก็ไปหาของกินตามร้านสะดวกซื้อ ส่วนเก่งกับเพื่อนบางคนนั้น เดินตรงเข้าร้านข้าวหน้าเนื้อ (Matsuya) ที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟทันที 55555 

ร้าน Matsuya ขอบคุณภาพจาก Google

หลังจากกินเสร็จ ก็เดินกลับหอพัก ระหว่างเดินก็ได้เช็คแอพมือถือ เพราะเรามีแอพนับก้าวอยู่ในเครื่อง ตกใจ!! วันนี้เดินไปประมาณ 12.5 กิโลเมตร เกิดมาไม่เคยเดินเยอะ และไกลขนาดนี้ จนถึงตอนนี้ปี 2021 ก็ยังไม่มีการเดินครั้งไหน ๆ ที่สามารถทำลายสถิติการเดินตะลอนที่ Sawara-Katori ของเราได้อีกเลย จะจำไว้ว่า เราได้สร้างสถิติการเดินสูงสุดไว้ที่ประเทศญี่ปุ่น 555555

อ่อวันนี้วันที่ 1 เมษา ซึ่งมันคือ วันเมษาหน้าโง่ (April Fools’ Day) พวกเราดูโง่กันสุด ๆ ไปเลยครับ แผนเที่ยวที่เราบอกว่าเตรียมการมา (มั้ง) มันคือการโกหกตามวัน April Fools’ Day ได้ดีอย่างเหมาะเจาะจริง ๆ 5555555+

เป็นยังไงกันบ้างครับ สำหรับ Week แรกของ ASW2018 สนุกกันไหมครับ ?

อย่าลืมติดตาม EP. ที่ 2 และต่อ ๆ ไปนะครับ จะเขียนให้ครบ 40 กว่าวันเลย จะเขียนออกมาเรื่อย ๆ เป็นบันทึกประสบการณ์อันน่าจดจำของเก่งกี้ หวังว่าทุกคนจะสนุก และ Enjoy กับเรื่องราวที่เก่งได้เขียนออกมาให้ทุกคนอ่านครับ 😀

9AN9KIE
9AN9KIE

เก่งกี้ ผู้ที่อยากเขียน Blog ก็เขียน หรือจะไม่เขียนก็แล้วแต่อารมณ์ ฮ่า ๆ

จำนวนโพสต์: 3

ติดตาม Blog

กรอกอีเมลของคุณด้านล่าง เพื่อติดตามการอัปเดต Blog